วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดาร์ลิงโทเนีย (Darlingtonia) หรือ ลิลลี่งูเห่า


ดาร์ลิงโทเนีย (Darlingtonia)
หรือชื่อทั่วไปที่คนรดับชาวบ้านเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Cobra Lilly แปลว่าลิลลี่งูเห่า ลิลลี่งูเห่าเป็นพืชกินแมลงกลุ่มเดียวกับซาราซีเนียและ Heliamphora มีชื่อเสียงในแง่ของความแปลกประหลาด น่าพิศวงและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีชื่อด้านตรงข้ามในแง่ของความบอบบางจนกล่าวกันว่า ลิลลี่งูเห่าเป็นพืชกินแมลงที่เลี้ยงยากที่สุดในโลก แม้แต่ในถิ่นที่ลิลลี่งูเห่ากำเนิดเป็นดงใหญ่ ชาวบ้านในละแวกนั้น ขุดมาใส่กระถางก็ยังตาย

จนถือกันเป็นมาตรฐานในกลุ่มผู้รักพืชกินแมลงว่า ใครที่เลี้ยงลิลลี่งูเห่าสำเร็จ แข็งแรง งดงามดี จะได้รับการยกย่องว่าเป็นเซียน เพราะมีคนไม่กี่คนในโลกนี้ ที่สามารถเลี้ยงลิลลี่งูเห่าไว้ในกระถางได้

ดาร์ลิงโทเนีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Darlingtonia californica ค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1841 โดยผู้ช่วยนักพฤกษศาสตร์นาม J.D. Brackenridge ในหนองน้ำแฉะทางตอนเหนือของรัฐ californica ซึ่งมีภูมิอากาศคล้ายคลึงกับประเทศไทย

ดาร์ลิงโทเนียเป็นพืชล้มลุกไม่มีเนื้อไม้ อายุหลายปี มีต้นฝังอยู่ใต้ดินเรียกว่าเหง้า รากแตกเป็นฝอยเล็กๆ ไม่มีรากแก้ว ใบของมันจะแทงขึ้นพ้นพื้นดินลักษณะเป็นกอ เช่นเดียวกับซาราซีเนีย แต่ความแตกต่างที่เห็นชัดคือว่า กรวยที่ยกขึ้นเป็นหลอดด้านหนึ่งจะโค้งงอเป็นรูปโดม จนไปชนปลายกรวยอีกด้านหนึ่งเหลือไว้เพียงรูเล็กๆ พอให้แมลงมุดขึ้นไปได้ ฝากรวยแปลงรูปไปเป็นแผ่นคล้ายลิ้นงู 2 แฉก แล้วกรวยของมันยังบิดตัวหมุนกลับ 180 องศา ทำให้ลิ้น 2 แฉกหมุนกลับมาอยู่นอกกอ ยอดโดมเป็นเนื้อเยื่อใสคล้ายพลาสติก แสงลอดผ่านได้



สภาพในธรรมชาติ
ดาร์ลิงโทเนียในธรรมชาติ จะมีความสูงประมาณเข่า และที่ยอดโดมมีสีเหลืองทอง ส่วนกรวยด้านล่างเป็นสีเขียวเข้ม ลิ้นเป็นสีแดง แต่ถ้าอยู่ในที่ร่ม ดาร์ลิงโทเนียจะเป็นสีเขียวเข้มทั้งต้นและอาจสูงท่วมเอว

พบดาร์ลิงโทเนียเพียงที่เดียวในโลกคือตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียเลยไปถึงตอนใต้ของโอเรกอน จึงนิยมเรียกมันว่าเจ้างูเห่าแคลิฟอร์เนีย(California Cobra plants) มันชอบขึ้นรวมกันเป็นกระจุกใหญ่และกระจายตัว เป็นบริเวณกว้างตามเนินเขาที่ค่อนข้างลาดเอียงและมีน้ำที่ละลายจากหิมะไหลซึมในชั้นดินเสมอ ดังนั้นรากของมันจึงเคยชินอยู่กับน้ำที่เย็นจัดและไหลรินตลอดเวลา ถ้าเราขุดดาร์ลิงโทเนียไปใส่ในกระถางมันจะตายในที่สุด

หากคุณได้ไปยังหุบเขาชาสตา ในแคลิฟอร์เนียในฤดูใบไม้ผลิ คุณจะต้องตื่นตากับภาพ ดาร์ลิงโทเนียนับหมื่น นับแสนต้น ขึ้นเต็มหุบเขา มองเห็นเป็นสีทองอร่ามยามเย็น เป็นภาพที่ประทับใจไม่รู้ลืม ปัจจุบันรัฐแคลิฟอร์เนีย กำหนดให้บริเวณดังกล่าวเป็นเขตวนอุทยาน นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก

จากการสำรวจพบว่า ดาร์ลิงโทเนียเจริญเติบโต ในดินที่ไม่มีแร่ธาตุแต่มีความเป็นกรดค่อนข้างสูงเช่นเดียวกับไม้กินแมลงส่วนใหญ่ เราพบ ดาร์ลิงโทเนียได้ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 2500 เมตร มันชอบแสงแดดจัด แต่ถ้าแสงน้อยมันจะโตได้ดีกว่าแต่ไม่มีสีเหลืองทอง


ด้วยความสวยงามอย่างน่าแปลกประหลาดของเจ้าพืชกินแมลงตัวนี้ ทำให้มีผู้รักธรรมชาติจำนวนมาก หลงใหลเสน่ห์ของมันถึงขนาดไปตั้งเต็นท์กินนอนอยู่ในหุบเขางูเห่าเป็นเวลานานๆ รวมไปถึงหญิงผู้หนึ่งนามว่า รีเบคกา ออสติน ผู้ซึ่งรัก ดาร์ลิงโทเนียถึงขนาดพาลูกสาวและสามีไปกินนอนอยู่ที่นั้น

รีเบคกาไม่เพียงชื่นชมความงามของลิลลี่งูเห่า เธอยังเป็นมนุษย์คนแรกที่ศึกษา บันทึก ทำรายงาน และเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับ ดาร์ลิงโทเนียในทุกแง่มุม เช่น เธอเป็นคนแรกที่สักเกตพบว่าน้ำฝนที่ตกลงมาในธรรมชาติ ไม่สามารถไหลเข้าไปในกรวยของ ดาร์ลิงโทเนียได้ และเธอยังได้ทำการติดต่อขอความเห็นทางวิชาการจากนักพฤษศาสตร์ที่มีชื่อเสียง จนสามารถรวบรวมเป็นหนังสือวิชาการเกี่ยวกับ ดาร์ลิงโทเนียเล่มแรกของโลก ซึ่งก่อประโยชน์กับคนรุ่นหลังอย่างยิ่ง

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถปราบเจ้าดาร์ลิงโทเนีย "มังกรแห่งท้องทุ่ง" ให้อยู่หมัดได้


เทคนิคการจับแมลง

โดยหลักการทั่วไปก็คล้ายกับพืชกินแมลงอื่นๆคือ ใช้กลิ่นหอมของน้ำหวาน ที่มันผลิตขึ้นบริเวณปากทางเข้า เป็นตัวหลอกล่อให้แมลงเดินเข้าไปยังกับดักและตกลงไปตายในที่สุด แต่เจ้าลิลลี่งูเห่าทำได้แยบยลกว่านั้น น้ำหวานที่มันผลิตจะหลอกล่อให้แมลงเดินเข้าไปในรูเปิดเล็กๆ บริเวณลิ้นงูเห่า ซึ่งผนังภายในมีน้ำหวานจำนวนมาก แมลงอาจลังเลที่จะมุดตัวเข้าไปในกรวยที่เต็มไปด้วยน้ำย่อย แต่เมื่อมันมองเข้าไปด้านใน มันจะเห็นแสงสว่างส่องมาจากด้านบนของโดม ซึ่งใสคล้ายพลาสติกทำให้มันหลงกลคิดว่าด้านบนคือท้องฟ้า หากเกินเหตุอันตรายมันก็สามาถบินหลบหนีขึ้นไปได้ทันที แมลงเคราะห์ร้ายจึงชะล่าใจมุดเข้าไปกินน้ำหวานลึกเข้าไปในกรวยที่มีขนละเอียดและแหลมคม หันไปทิศทางเดียวกันทำให้แมลงไม่สามารถเดินย้อนกลับได้


เมื่อลมชายทุ่งพัดมา ดาร์ลิงโทเนียเอนไหว แมลงซึ่งอยู่ภายในตกใจ บินขึ้นเบื้อนบนทันที มีผลทำให้ทำกระแทกเข้ากับยอดโดมที่ใสคล้ายท้องฟ้าโดยไม่ทันระวังตัว เจ้าแมลงเคราะห์ร้ายหล่นร่วงลงสู่น้ำย่อยในกรวยเบื้องล่าง ซึ่งทำหน้าที่ย่อยเหยื่อที่มันจับได้ด้วยความกระหาย

งั่ม...งั่ม... อาหย่อย...ดี!


สายพันธุ์
เดิมลิลลี่งูเห่ามีเพียงสายพันธุ์เดียวคือ Darlingtonia californica มันเป็นพืชที่โตช้า หลังจากที่เมล็ดตกลงพื้น 2 ปี จึงจะเริ่มโตเป็นต้นเล็กๆ และอีกหลายปีจึงจะเริ่มออกดอกและจะโตเต็มที่จะต้องใช้เวลาถึง 7-8 ปี

แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ นักปรับปรุงสายพันธุ์พืชของเนอเซอรี Meyers-Rice สามารถผลิตลิลลี่งูเห่าชนิดใหม่ที่แปลกประหลาดได้ในปี ค.ศ. 1997 คือทำให้เนื่อเยื่อของมันไม่มีการสร้างเม็ดสีจำพวก Anthocyanins (ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้พืชมีสีแดงถึงฟ้า)

ดังนั้นเมื่อสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่มี Anthocyanins มันจึงให้สีเหลืองทองบริสุทธิ์ กรวยมีตั้งแต่เขียวบริสุทธิ์ถึงเหลืองบริสุทธิ์

สายพันธุ์ย่อยที่มนุษย์สร้างขึ้น (Cultivar) ผู้ผลิตตั้งชื่อมันว่า Darlingtonia californica “Othello” และได้จดทะเบียนไว้กับสมาคมไม้กินแมลง ICPS ในปี ค.ศ. 1998 หรือเมื่อ 7 ปี ที่แล้วนี้เอง


มหัศจรรย์งูเห่า

ในช่วงที่สำรวจธรรมชาติของเจ้างูเห่า รีเบคกา ออสติน เธอยังค้นพบอีกว่าเจ้างูเห่ามีความพิสดารลึกซึ้งกว่าไม้ทั่วไปคือ มันทำตัวเป็นเข็มทิศธรรมชาติที่เที่ยงตรงอย่างยิ่ง ใบของเจ้างูเห่าจะออกเป็นคู่ทั้ง 2 ใบ ทิศทางตรงข้ามกัน รวมทั้งสิ้นประมาณ 10-18 ใบ /1 กอ ในแต่ละปี

รีเบคกาสังเกตเห็นว่า ใบใหม่ที่มีขนาดใหญ่จะผลิตออกมาในฤดูใบไม้ผลิ 2 ใบแรก เป็นใบสูงที่สุดและหันใบไปทางทิศตะวันออกหนึ่งใบ ตะวันตกหนึ่งใบเสมอ ส่วนใบคู่ที่สองจะหันไปทางทิศเหนือหนึ่งใบ ทิศใต้หนึ่งใบ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป จนสามารถใช้ต้นดาร์ลิงโทเนียบอกทิศได้เช่นเดียวกับเข็มทิศ

ในปี ค.ศ. 2002 Schnell ทำการศึกษาเรื่องเจ้างูเห่าบอกทิศตามรายงานของ รีเบคกา ออสติน โดยปลูกดาร์ลิงโทเนียไว้ในกระถาง พบว่า ดาร์ลิงโทเนียที่ปลูกในกระถางก็ยังคงหันทิศตรงตามเข็มทิศทุกประการ ผู้วิจัยแกล้งจับกระถางหมุน มันก็ยังออกใบใหม่ชี้ทิศทางได้ถูกต้อง นับเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง


ที่มา : ดาร์ลิงโทเนีย(Darlingtonia)

มะม่วงแอปเปิ้ล

ชื่อที่เรียกมะม่วงแอปเปิ้ล
ชื่ออื่นๆมะม่วง
ลักษณะเป็นไม้ยืน ต้น สูง 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านเยอะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับเป็นคู่หนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ใบเป็น รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบจะเรียวเล็กกว่าใบมะม่วงทั่วไป เนื้อใบ ค่อนข้างหนาหน้าใบสีเขียวสดเป็นมัน หลังใบสีเขียวหม่น ใบดกให้ร่มเงาดีมาก ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวน มาก ดอกเป็นสีเหลืองนวลหรือสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ “ผล” รูปทรงกลมคล้ายผลแอปเปิ้ล “กาล่า” ตามที่กล่าวข้างต้น ผลโต เต็มที่เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4-5 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม ผลดิบเป็น สีเขียว มีนวลสีขาว รสชาติขณะดิบ เปรี้ยวจัด ปอกเปลือกฝานเป็นแว่นๆ จิ้มน้ำปลาหวานอร่อย มาก ผลสุกเป็นสีแดงอมม่วงเหมือนสีของมะม่วง อาร์.2 อี.2 ติดผลเป็นพวง 5-7 ผล ต่อพวง เวลามีผลจะกระจายทั่วทั้งต้น ทำให้ดูเป็นสีแดงคล้ายแอปเปิ้ลสุก สวยงามน่ารักน่าชม มาก เนื้อในขณะสุกหวานปนเปรี้ยวนิดๆ รับประ-ทานอร่อยดี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ประโยชน์ผลสดแก่ รับประทานแก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ ผลสุก หลังรับประทานแล้วล้างเมล็ดตากแห้ง ต้มเอาน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง รับประทานแก้ท้องอืดแน่น ขับพยาธิ ใบสด 15–30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ท้องอืดแน่น เอาน้ำต้มล้างบาดแผลภายนอกได้ เปลือกต้น ต้มเอาน้ำดื่ม แก้ไข้ตัวร้อน เปลือกผลดิบ คั่วรับประทานร่วมกับน้ำตาล แก้อาการปวดเมื่อยเมื่อมีประจำเดือน แก้ปวดประจำเดือน
ที่มา : มะม่วงแอปเปิ้ล ผลดิบแปลก อร่อย, มะม่วงแอปเปิ้ล

ทุเรียนเทศ หรือ ทุเรียนน้ำ (Soursop,Prickly Custard Apple)

ทุเรียนเทศ หรือ ทุเรียนน้ำ (อังกฤษ: Soursop,Prickly Custard Apple; ชื่อวิทยาศาสตร์: Annona muricata L.) ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ทุเรียนแขก (ภาคกลาง) หมากเขียบหลด (ภาคอีสาน) และ มะทุเรียน (ภาคเหนือ) เป็นพืชในวงศ์เดียวกับน้อยหน่าและกระดังงา ใบเดี่ยว กลีบดอกแข็ง มีกลิ่นหอมตอนเช้า ผลมีรูปร่างคล้ายทุเรียน มีหนาม เปลือกสีเขียว เนื้อสีขาว ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดแกสีดำ ปลูกมากในแถบอเมริกากลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพืชที่ชอบที่ที่มีความชื้นสูง

การใช้ประโยชน์ ทุเรียนเทศใช้กินเป็นผลไม้สด และนำมาแปรรูปเป็นผลไม้กวน เยลลี่ ไอศกรีมและซอส ในมาเลเซียนำไปทำน้ำผลไม้กระป๋อง เวียดนามนิยมทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น เมล็ดมีพิษ ใช้ทำยาเบื่อปลาและเป็นยาฆ่าแมลง ในเม็กซิโกและโคลัมเบีย เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานและใช้ทำขนม เช่นเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม agua fresca ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ผสมนม ไอศกรีมทำจากทุเรียนเทศเป็นที่นิยม ในอินโดนีเซีย dodol sirsak ทำจากทุเรียนเทศโดยนำไปต้มในน้ำ เติมน้ำตาลจนกว่าจะแข็ง และนำไปทำน้ำผลไม้ปั่น ในฟิลิปปินส์เรียกทุเรียนเทศว่า guyabano ซึ่งน่าจะมาจากภาษาสเปน guanabana ซึ่งนิยมกินผลสุกและทำน้ำผลไม้ สมูทตี และไอศกรีม บางครั้งใช้ทำให้เนื้อนุ่ม ในเวียดนาม ทางภาคใต้เรียก mãng cầu Xiêm ส่วนทางภาคเหนือเรียก mãng cầu ใช้กินสดหรือทำสมูทตี ในมาเลเซียนิยมกินเป็นผลไม้เช่นกัน ในทางโภชนาการ ทุเรียนเทศมีคาร์โบไฮเดรตมาก โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโทส วิตามินซี และวิตามินบี ผล ใบ และเมล็ดมีฤทธิ์ทางยา ใช้เป็นยาสมุนไพรในบริเวณที่พบพืชชนิดนี้มาก
ความเสี่ยง มีงานวิจัยในแถบทะเลแคริบเบียนที่แสดงให้เห็นว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างการรับประทานทุเรียนเทศกับโรคพาร์คินสัน เพราะทุเรียนเทศมี annonacin ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคนี้สูง ทุเรียนเทศยังเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ในยาที่ขายในตลาดในชื่อ Triamazon. Triamazon นี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นยาในอังกฤษ

ลักษณะของผล
ลักษณะของใบ
ลักษณะของการติดผลบริเวณลำต้น

ที่มา : WikiPedia